27 ส.ค. 2553
ระบบกล้องวงจรปิดชนิดเครือข่าย (IP Camera)ตอนที่ 2
Solutions 2 : Wireless Network IP Camera
ระยะใกล้หลายเมตร ( ประมาณ 1 – 100 m )
ระยะไกลหลายกิโลเมตร ( ประมาณ 1 – 20 Km )
1. โปรแกรมควบคุมและแสดงผล ( Software Fujinet NVR Pro )
PROJECT REFERENCE: IP CCTV NETWORK SYSTEM
ฟังก์ชั่นที่สามารถรองรับเพิ่มเติม :
- เนื่องจากตัวกล้อง IP มีระบบ Relay Digital IN&OUT ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานในส่วนของ ระบบตอบรับอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นอาคาร สำนักงาน ระบบรักษาความปลอดภัย กรณีมีผู้บุกรุกให้มีเสียงแจ้งเตือน ส่งข้อมูลไปที่เจ้าของบ้านได้อย่างทันท่วงที
- ระบบแจ้งเตือน เสียงเตือนภัย ออนไลน์ ระยะไกล
- การตรวจจับป้ายทะเบียนรถยนต์ เทียบกับฐานข้อมูล
- รองรับศูนย์ควบคุมสั่งการกลางขนาดใหญ่
- รองรับการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ เพื่อการประหยัดพลังงาน ช่วยลดภาวะโลกร้อน
Best Regards,
TAVORN PIENPHAYLOON
Sale Project & Support Engineer
Online MSN : tavorn13@hotmail.com
Website : www.waisky.ob.tc
Hotline : 08-5024-4610
ระยะใกล้หลายเมตร ( ประมาณ 1 – 100 m )
ระยะไกลหลายกิโลเมตร ( ประมาณ 1 – 20 Km )
1. โปรแกรมควบคุมและแสดงผล ( Software Fujinet NVR Pro )
PROJECT REFERENCE: IP CCTV NETWORK SYSTEM
ฟังก์ชั่นที่สามารถรองรับเพิ่มเติม :
- เนื่องจากตัวกล้อง IP มีระบบ Relay Digital IN&OUT ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานในส่วนของ ระบบตอบรับอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นอาคาร สำนักงาน ระบบรักษาความปลอดภัย กรณีมีผู้บุกรุกให้มีเสียงแจ้งเตือน ส่งข้อมูลไปที่เจ้าของบ้านได้อย่างทันท่วงที
- ระบบแจ้งเตือน เสียงเตือนภัย ออนไลน์ ระยะไกล
- การตรวจจับป้ายทะเบียนรถยนต์ เทียบกับฐานข้อมูล
- รองรับศูนย์ควบคุมสั่งการกลางขนาดใหญ่
- รองรับการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ เพื่อการประหยัดพลังงาน ช่วยลดภาวะโลกร้อน
Best Regards,
TAVORN PIENPHAYLOON
Sale Project & Support Engineer
Online MSN : tavorn13@hotmail.com
Website : www.waisky.ob.tc
Hotline : 08-5024-4610
26 ส.ค. 2553
เปรียบเทียบราคาระหว่างระบบกล้องวงจรปิดชนิด IP Camera กับ Analog Camera (ตอนที่1)
total Cost of Ownership (tCO)
Comparison of IP- and analog-based surveillance system
คำถามที่หลายท่านสงสัยคือ ราคาระหว่างกล้อง Analog ระบบเดิม กับราคา ระบบกล้อง IP Camera ต่างกันเท่าไหร่ ??? แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ???
เรามาคลายความสงสัยกันเลย
มาดูก่อนว่าระบบกล้อง Analog มีอะไรบ้าง หลักๆ จะมีกล้องและเครื่องบันทึกภาพ สายสัญญาณ
ส่วนระบบกล้อง IP จะมีอุปกรณ์หลักๆ คือ กล้อง IP , Switch Hub,Server และ Software
กรณีศึกษาเราคือ มีโจทย์ว่า มีโรงเรียนแห่งหนึ่งกำลังก่อสร้าง ต้องการระบบกล้องวงจรปิดตามรายละเอียดดังนี้
จำนวนกล้อง
1. 30 กล้อง fix dome cameras ติดตั้งภายใน
2. 5 กล้อง Outdoor fix dome cameras ติดตั้งภายนอก
3. 5 กล้อง Outdoor PTZ Cameras ติดตั้งภายนอก
4. กล้องทุกตัว ทนแดด ทนฝน
การบันทึก
1. บันทึก 12 ชม ต่อวัน
2. บันทึกที่ 4f/s ต่อเนื่อง
3. บันทึกที่ 15f/s เวลาที่มีการเคลื่อนไหว (Motion Detect)
4. ความละเอียดภาพที่บันทึก CIF
5. เก็บข้อมูลอย่างน้อย 12 วัน
มีแบบตำแหน่งกล้องดังนี้
ติดตามต่อในตอนที่ 2 ว่าจะเป็นอย่างไร ???
POE คืออะไรใครรู้บ้าง
POE หรือ Pwer Over Ethernet คือ เทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากสาย UTP ที่เหลืออยู่ ซึ่งสาย UTP นั้นมี 4 คู่สาย ส่วนมากใช้งานเพียง 2 คู่ จะเหลือ 2 คู่ POE นั้น เกิดเมื่อปี 2003 ชื่อมาตรฐาน คือ IEEE 802.3af โดยไฟที่ส่งไปนั้นเป็นไฟกระแสตรงจึงไม่มีการรบกวนสัญญาณแต่อย่างใด โดยทั่วไปอุปกรณ์ POE จะใช้แรงดันประมาณ 48 V กินไฟสูงสุดประมาณ 13 W เราจะเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ง่ายๆ ว่า Injector (ตัวส่ง), Picker (ตัวรับ) หรือ Power Sourcing Equipment (PSE; ตัวส่ง), หรือ Power Device (PD; ตัวรับ) ก็ได้
ทำไมควรเลือกใช้ POE
ที่มา :: เอกสาร Interlink Vol.10 No.121 October 2008 สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Power_over_Ethernet
ทำไมควรเลือกใช้ POE
- ประหยัดกว่าการเดินสายแบบปกติ เพราะอุปกรณ์น้อยกว่า
- ลดขีดจำกัดการออกแบบ เพื่อให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก
- ลดความยุ่งยากในการติดตั้ง
- ลดความเสี่ยงเรื่องอันตรายจากไฟฟ้าดูด
- สามารถใช้งานในฟังก์ชั่น SNMP Network ได้
- สามารถใช้อุปกรณ์ Network ต่างๆ เช่น Access Point, IP Camera โดยไม่ต้องเสียบปลั๊กไฟฟ้า
- ลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องเดินสายไฟไปพร้อมกับสาย UTP
- ทำให้เกิดความคล่องตัวในการใช้อุปกรณ์ต่าง
- มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากใช้ไฟฟ้าแรงดันต่ำและเป็นไฟกระแสตรง
- สามารถนำมาติดตั้งเพิ่มเติมกับระบบเดิมได้
ที่มา :: เอกสาร Interlink Vol.10 No.121 October 2008 สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Power_over_Ethernet
25 ส.ค. 2553
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดตอนที่ 2
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดตอนที่ 2
ชนิดของ CHIP
CHIP เปรียบเสมือนฉากรับภาพ ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณแสงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า แบ่งได้ 2 ชนิด คือ
1. CCD - เป็น chip ที่มีคุณภาพดี สามารถใช้ได้แม้มีปริมาณแสงน้อย
- มี resolution ประมาณ 512H*582V ( 290K / sqr.in. )
- ผลิตที่ญี่ปุ่น
2. CMOS - เป็น chip ที่ต้องใช้ปริมาณแสงมากกว่า CCD ในการที่จะให้ความคมชัดเท่า ๆ กัน
ดังนั้น chip แบบ CMOS จึงเหมาะที่จะใช้กับกล้องขาว-ดำ ที่ใช้ปริมาณแสงน้อยใน
การสร้างภาพ, CMOS มีความคมชัดสูง
- มี resolution ประมาณ 628H*582V ( 330K / sqr.in. , Hi-Resolution )
- - ผลิตที่อเมริกา, จีน
· CMOS มี resolution มากกว่า CCD แต่ เป็นเพียงแค่ Specification เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ภาพที่ได้จาก ชิป CMOS จะไม่ค่อยชัดเท่ากับชิป CCD และถ้าในที่ที่มีแสงน้อย ภาพจะไม่ค่อยชัดเจน
1. SONY คุณภาพดี จะใช้ได้ดีเมื่อดูสีอบอุ่น เช่นสีแดง เหลือง
ชิป SONY มีหลายรุ่น เช่น Super HAD, Exview
2. PANASONIC คุณภาพดี จะใช้ได้ดีเมื่อดูสีเย็น เช่น ฟ้า น้ำเงิน ส่วนสีอย่างสีแดงจะดูหม่นจน
กลายเป็นสีม่วง
3. SHARP คุณภาพปานกลาง ภาพที่ได้จะคมสู้ SONY, PANA ไม่ได้
ถ้าแสงปกติ ภาพจะสวยดี, ที่แสงน้อย ภาพอาจขึ้น SNOW เร็ว
4. SAMSUNG เรานำเข้ามาเฉพาะชิปขาว-ดำ ให้ภาพสว่างสดใส
เทคนิคการดูสี CHIP
กล้องขาว-ดำ สีของ CHIP จะอ่อน , กล้องสี สีของ CHIP จะเข้ม
ขนาดของ CHIP แบ่งเป็น
1. 1/2” ไม่ขาย เพราะมีราคาแพงมาก, แม้ว่าขนาดของ chip จะใหญ่ ดี แต่ราคาแพง
2. 1/3” กล้องสีบางรุ่นใช้ชิป 1/3” มีราคาแพงกว่าชิป 1/4” แต่ได้มุมภาพที่กว้างกว่าชิป 1/4”
3. 1/4” กล้องสีทั่วไปที่เราขาย ส่วนใหญ่เป็นชิป 1/4”
รูป 6 ขนาดของ CHIP
· ชิปที่มีขนาดใหญ่ จะให้ภาพละเอียดและ มุมภาพกว้างขึ้น กว่าชิปที่มีขนาดเล็ก
· เลนส์จะต้องสร้างภาพที่มีขนาดใหญ่พอสำหรับชิป หากชิปมีขนาดใหญ่ เลนส์ก็ยิ่งแพง
· เลนส์ที่ทำสำหรับใช้กับชิปขนาด 1/2” จะสามารถใช้กับชิปขนาด 1/2”, 1/3” และ 1/4” ได้
· เลนส์ของเราทำสำหรับใช้กับชิปขนาด 1/3” ซึ่งสามารถใช้กับชิปขนาด 1/3” และ 1/4” ได้
· กล้องขาว-ดำทุกรุ่นที่เราขาย มีขนาดชิป 1/3” เพราะมีราคาถูกอยู่แล้ว
ระยะโฟกัส
เลนส์แบ่งตามการปรับระยะโฟกัส มี 3 ชนิดหลัก ๆ คือ
q Mono focal : ระยะโฟกัสจะถูกกำหนดไว้ตายตัว จะเปลี่ยนไม่ได้ เช่น 4 มม.
q Zoom : สามารถปรับระยะโฟกัสได้ภายในช่วงที่กำหนดไว้ เช่น 2.8-12 มม. และเมื่อเปลี่ยนระยะโฟกัสแล้ว จุดรวมแสงของเลนส์ก็จะยังคงอยู่
q Vari-focal Zoom : เมื่อเปลี่ยนระยะโฟกัส เลนส์จะต้องถูกปรับจุดรวมแสงใหม่ ซึ่งชนิดที่ใช้กันทั่วไปคือขนาด 3.5-8 มม.
· ระยะโฟกัสกับขนาดของเซนเซอร์จะให้มุมในการมองเห็นที่ต่างกัน
· เลนส์ระยะโฟกัสน้อยจะให้มุมที่กว้างกว่าระยะโฟกัสมาก และมองเห็นชัด สำหรับระยะใกล้ๆ
· ถ้าใช้เลนส์มุมกว้างมากๆ เช่น 2 mm จะเริ่มเห็นภาพเป็น เส้นโค้งๆ
· เลนส์มาตรฐานที่ให้ไปกับตัวกล้อง เป็นเลนส์ขนาด 4mm ซึ่งได้มุมที่กว้างพอสมควร
· เลนส์ขนาดเดียวกัน หากใช้กับ CHIP ขนาด 1/3” ก็จะมองเห็นมุมที่กว้างกว่าการใช้ CHIP ขนาด 1/4 ” นิดหน่อย
ติดตามต่อในตอนที่ 3 ครับ
CHIP เปรียบเสมือนฉากรับภาพ ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณแสงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า แบ่งได้ 2 ชนิด คือ
1. CCD - เป็น chip ที่มีคุณภาพดี สามารถใช้ได้แม้มีปริมาณแสงน้อย
- มี resolution ประมาณ 512H*582V ( 290K / sqr.in. )
- ผลิตที่ญี่ปุ่น
2. CMOS - เป็น chip ที่ต้องใช้ปริมาณแสงมากกว่า CCD ในการที่จะให้ความคมชัดเท่า ๆ กัน
ดังนั้น chip แบบ CMOS จึงเหมาะที่จะใช้กับกล้องขาว-ดำ ที่ใช้ปริมาณแสงน้อยใน
การสร้างภาพ, CMOS มีความคมชัดสูง
- มี resolution ประมาณ 628H*582V ( 330K / sqr.in. , Hi-Resolution )
- - ผลิตที่อเมริกา, จีน
· CMOS มี resolution มากกว่า CCD แต่ เป็นเพียงแค่ Specification เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ภาพที่ได้จาก ชิป CMOS จะไม่ค่อยชัดเท่ากับชิป CCD และถ้าในที่ที่มีแสงน้อย ภาพจะไม่ค่อยชัดเจน
CCD BRAND
CHIP แบบ CMOS จะมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน แต่ CHIP แบบ CCD จะมีคุณภาพแตกต่างกันไปตามบริษัทผู้ผลิต1. SONY คุณภาพดี จะใช้ได้ดีเมื่อดูสีอบอุ่น เช่นสีแดง เหลือง
ชิป SONY มีหลายรุ่น เช่น Super HAD, Exview
2. PANASONIC คุณภาพดี จะใช้ได้ดีเมื่อดูสีเย็น เช่น ฟ้า น้ำเงิน ส่วนสีอย่างสีแดงจะดูหม่นจน
กลายเป็นสีม่วง
3. SHARP คุณภาพปานกลาง ภาพที่ได้จะคมสู้ SONY, PANA ไม่ได้
ถ้าแสงปกติ ภาพจะสวยดี, ที่แสงน้อย ภาพอาจขึ้น SNOW เร็ว
4. SAMSUNG เรานำเข้ามาเฉพาะชิปขาว-ดำ ให้ภาพสว่างสดใส
เทคนิคการดูสี CHIP
กล้องขาว-ดำ สีของ CHIP จะอ่อน , กล้องสี สีของ CHIP จะเข้ม
CHIP SIZE
ขนาดของ CHIP ยิ่งใหญ่จะยิ่งดี เนื่องจากมีพื้นที่ในการรับแสงมาก จะได้ภาพที่คมชัด ซึ่งก็จะมีราคาแพงขนาดของ CHIP แบ่งเป็น
1. 1/2” ไม่ขาย เพราะมีราคาแพงมาก, แม้ว่าขนาดของ chip จะใหญ่ ดี แต่ราคาแพง
2. 1/3” กล้องสีบางรุ่นใช้ชิป 1/3” มีราคาแพงกว่าชิป 1/4” แต่ได้มุมภาพที่กว้างกว่าชิป 1/4”
3. 1/4” กล้องสีทั่วไปที่เราขาย ส่วนใหญ่เป็นชิป 1/4”
รูป 6 ขนาดของ CHIP
· ชิปที่มีขนาดใหญ่ จะให้ภาพละเอียดและ มุมภาพกว้างขึ้น กว่าชิปที่มีขนาดเล็ก
· เลนส์จะต้องสร้างภาพที่มีขนาดใหญ่พอสำหรับชิป หากชิปมีขนาดใหญ่ เลนส์ก็ยิ่งแพง
· เลนส์ที่ทำสำหรับใช้กับชิปขนาด 1/2” จะสามารถใช้กับชิปขนาด 1/2”, 1/3” และ 1/4” ได้
· เลนส์ของเราทำสำหรับใช้กับชิปขนาด 1/3” ซึ่งสามารถใช้กับชิปขนาด 1/3” และ 1/4” ได้
· กล้องขาว-ดำทุกรุ่นที่เราขาย มีขนาดชิป 1/3” เพราะมีราคาถูกอยู่แล้ว
ระยะโฟกัส
เลนส์แบ่งตามการปรับระยะโฟกัส มี 3 ชนิดหลัก ๆ คือ
q Mono focal : ระยะโฟกัสจะถูกกำหนดไว้ตายตัว จะเปลี่ยนไม่ได้ เช่น 4 มม.
q Zoom : สามารถปรับระยะโฟกัสได้ภายในช่วงที่กำหนดไว้ เช่น 2.8-12 มม. และเมื่อเปลี่ยนระยะโฟกัสแล้ว จุดรวมแสงของเลนส์ก็จะยังคงอยู่
q Vari-focal Zoom : เมื่อเปลี่ยนระยะโฟกัส เลนส์จะต้องถูกปรับจุดรวมแสงใหม่ ซึ่งชนิดที่ใช้กันทั่วไปคือขนาด 3.5-8 มม.
ระยะโฟกัสของเลนส์กับมุมการมองเห็น
ANGLE OF VIEWSIZE OF LENS | WIDE ANGLE | |
C-MOUNT LENS | BOARD LENS | (degree) |
2 mm | 2 mm | > 90 |
4 mm | 3.6 mm | 78 |
6 mm | 6 mm | 50 |
8 mm | 8 mm | 30 |
12 mm | 12 mm | 20 |
16 mm | - | 12 |
· เลนส์ระยะโฟกัสน้อยจะให้มุมที่กว้างกว่าระยะโฟกัสมาก และมองเห็นชัด สำหรับระยะใกล้ๆ
· ถ้าใช้เลนส์มุมกว้างมากๆ เช่น 2 mm จะเริ่มเห็นภาพเป็น เส้นโค้งๆ
· เลนส์มาตรฐานที่ให้ไปกับตัวกล้อง เป็นเลนส์ขนาด 4mm ซึ่งได้มุมที่กว้างพอสมควร
· เลนส์ขนาดเดียวกัน หากใช้กับ CHIP ขนาด 1/3” ก็จะมองเห็นมุมที่กว้างกว่าการใช้ CHIP ขนาด 1/4 ” นิดหน่อย
ติดตามต่อในตอนที่ 3 ครับ
บทความจาก: CCTVNETWORKDESIGN: ออกแบบระบบกล้องวงจรปิดเครือข่ายระยะไกล,กล้องวงจรปิด,ออก แบบCCTV,cctvnetwork,CCTV: ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกล้องวงจรปิดตอนที่ 2
http://cctvnetworkdesign.blogspot.com
Under Creative Commons License: Attribution
ระบบกล้องวงจรปิดชนิดเครือข่าย (IP Camera) ตอนที่1
ระบบกล้องวงจรปิดชนิดเครือข่าย (IP Camera) ตอนที่1
ระบบกล้องวงจรปิดชนิดเครือข่าย (IP Security Solutions)
เหตุผลที่ทำไมต้องเลือกกล้อง IP Camera
1. คุณภาพของสัญญาณภาพ
§ ความละเอียดสูงจากระดับ VGA ถึงระดับ Mega Pixel
§ Progressive Scan จับภาพได้คมชัดถึงแม้ว่าวัตถุจะมีการเคลื่อนไหว
2. ความยืดหยุ่นของระบบและประสิทธิภาพในการใช้งาน
§ ระบบสามารถปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงสำหรับการใช้งานในส่วนต่างๆได้ง่าย
§ ตัวกล้องไม่จำเป็นต้องเดินสายไฟเลี้ยงกล้อง แต่อาศัยการจ่ายไฟเลี้ยงกล้องจากสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย (PoE Standard)
§ เหมาะสมสำหรับตึกที่ก่อสร้างใหม่ เนื่องจากระบบติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว
§ เนื่องจากระบบสัญญาณภาพเป็นดิจิตอลจึงง่ายและสะดวกสำหรับการประยุกต์ใช้งาน ในส่วนของ System Integration ไม่ว่าจะเป็นการนำภาพไปตรวจจับป้ายทะเบียนรถยนต์ในโปรแกรมเพื่อประมวลผลใน ส่วนของระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆได้
§ ประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของแรงงานคนและผู้ดูแลระบบ เนื่องจากระบบสามารถเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างจุดที่อยู่ห่างไกลในแต่ละที่ เพื่อมารวมไว้ที่ศูนย์ควบคุมกลางเพียงจุดเดียว โดยผ่านระบบเครือข่ายแบบมีสายหรือไร้สาย ซึ่งออกแบบตามความจำเป็นของแต่ละพื้นที่ และลักษณะของงาน
§ ระบบสามารถที่จะแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ในแต่ละจุดที่อยู่ห่างไกลกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
(Sharing Pictures Site)
§ ระบบสามารถรองรับภาพและเสียงจากกล้องแต่ละจุดเข้าสู่ศูนย์ควบคุมกลางได้ อีกทั้งยังสามารถพูดคุยโต้ตอบกลับไปที่กล้องที่ติดตั้งไว้ในแต่ละจุดได้เลย (Two way audio)
3. เปรียบเทียบระหว่างระบบกล้องไอพีดิจิตอลกับระบบกล้องอนาล็อก
Solutions 1: Wiring Network IP Camera
เหตุผลที่ทำไมต้องเลือกกล้อง IP Camera
1. คุณภาพของสัญญาณภาพ
§ ความละเอียดสูงจากระดับ VGA ถึงระดับ Mega Pixel
§ Progressive Scan จับภาพได้คมชัดถึงแม้ว่าวัตถุจะมีการเคลื่อนไหว
2. ความยืดหยุ่นของระบบและประสิทธิภาพในการใช้งาน
§ ระบบสามารถปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงสำหรับการใช้งานในส่วนต่างๆได้ง่าย
§ ตัวกล้องไม่จำเป็นต้องเดินสายไฟเลี้ยงกล้อง แต่อาศัยการจ่ายไฟเลี้ยงกล้องจากสายสัญญาณเพียงเส้นเดียว เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย (PoE Standard)
§ เหมาะสมสำหรับตึกที่ก่อสร้างใหม่ เนื่องจากระบบติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว
§ เนื่องจากระบบสัญญาณภาพเป็นดิจิตอลจึงง่ายและสะดวกสำหรับการประยุกต์ใช้งาน ในส่วนของ System Integration ไม่ว่าจะเป็นการนำภาพไปตรวจจับป้ายทะเบียนรถยนต์ในโปรแกรมเพื่อประมวลผลใน ส่วนของระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆได้
§ ประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของแรงงานคนและผู้ดูแลระบบ เนื่องจากระบบสามารถเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างจุดที่อยู่ห่างไกลในแต่ละที่ เพื่อมารวมไว้ที่ศูนย์ควบคุมกลางเพียงจุดเดียว โดยผ่านระบบเครือข่ายแบบมีสายหรือไร้สาย ซึ่งออกแบบตามความจำเป็นของแต่ละพื้นที่ และลักษณะของงาน
§ ระบบสามารถที่จะแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ในแต่ละจุดที่อยู่ห่างไกลกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
(Sharing Pictures Site)
§ ระบบสามารถรองรับภาพและเสียงจากกล้องแต่ละจุดเข้าสู่ศูนย์ควบคุมกลางได้ อีกทั้งยังสามารถพูดคุยโต้ตอบกลับไปที่กล้องที่ติดตั้งไว้ในแต่ละจุดได้เลย (Two way audio)
3. เปรียบเทียบระหว่างระบบกล้องไอพีดิจิตอลกับระบบกล้องอนาล็อก
ข้อเปรียบเทียบ | ระบบกล้องอนาล็อก | ระบบกล้องไอพี ดิจิตอล |
1. ด้านระบบ | ติดตั้งง่ายสายสัญญาณมารวมไว้ที่เครื่องบันทึกเพียงจุดเดียว ( ขนาดเล็ก ) | รองรับการเชื่อมต่อในแต่ละจุดที่อยู่ห่างไกลหลายกิโลเมตรเพื่อมารวมไว้ที่ศูนย์ควบคุมสั่งการกลางเพียงจุดเดียว ( ขนาดใหญ่ ) |
2. ราคา | ราคาค่อนข้างถูกเนื่องจากไม่มีการพัฒนาฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆเพิ่มเติม | ราคา ค่อนข้างแพง เนื่องจากมีการพัฒนาฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆอย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งสัญญาณภาพและเสียงไปที่โทรศัพท์มือถือของผู้ดูแลได้ 3G Mobile |
3. ศักยภาพระบบในอนาคต | ไม่มีการพัฒนาเพิ่มเติม | มีการพัฒนาฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งข้อมูลไร้สาย |
4. ความละเอียดของภาพ | NTSC or PAL | พัฒนาถึงระดับ Mega Pixel |
5. อัตราการส่งข้อมูล | 30 FPS ( Standard ) | สามารถปรับได้ไม่จำกัด (Unlimited) |
6. การหน่วงเวลาของสัญญาณ | ไม่มี | ขึ้นอยู่กับระบบเน็ตเวิร์คที่ติดตั้งระบบสามารถรองรับได้ถึง Gigabit/s |
7. ข้อจำกัดของสัญญาณ | จำกัดเพียงระยะ ไม่เกิน 200 เมตร โดยไม่มีตัวแปลงสัญญาณ | ไม่จำกัด สามารถติดตั้งได้ห่างไกลจากศูนย์ควบคุมได้หลายร้อยกิโลเมตรแล้วแต่ผู้ออกแบบจะกำหนดในแต่ละงาน |
Solutions 1: Wiring Network IP Camera
บทความจาก: CCTVNETWORKDESIGN: ออกแบบระบบกล้องวงจรปิดเครือข่ายระยะไกล,กล้องวงจรปิด,ออก แบบCCTV,cctvnetwork,CCTV: ระบบกล้องวงจรปิดชนิดเครือข่าย (IP Camera) ตอนที่1
http://cctvnetworkdesign.blogspot.com
Under Creative Commons License: Attribution
18 ส.ค. 2553
Spec.บอกค่ากำลังส่องสว่างของเครื่องฉาย
Spec.บอกค่ากำลังส่องสว่างของเครื่องฉาย
: สิ่งที่ควรจะต้องพิจารณาประกอบในรายละเอียดบางประการ
: สิ่งที่ควรจะต้องพิจารณาประกอบในรายละเอียดบางประการ
Somsit Jitstaporn,(PhD,Assoc.Prof.)
เครื่องฉายนับว่าเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน ในห้องประชุมสัมนา ห้องเรียน ฯลฯ แต่สภาพของสถานที่ใช้งานมีความหลากหลายดังนั้นในเรื่องของความสว่างของเครื่องฉายที่พอเหมาะนั้นยังเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย การพิจารณาคุณลักษณะทางเทคนิคหรือที่เรียกว่า “ สเปค ” เครื่องฉายก็ไม่ต่างจากเครื่องอื่น ๆ เช่นเครื่องเสียง ฯ ค่าที่บอกเป็นตัวเลขบางครั้งต้องระมัดระวังในการพิจารณาด้วย การตกแต่งค่าตัวเลขที่ปรากฏในเอกสารหรือโบรชัวร์ (brochure) ของบริษัทผู้ผลิตภายใต้เงื่อนไขหรือสภาพการต่าง ๆ ให้ดูดีมีอยู่ไม่น้อยที่ต้องระมัดระวัง ในฉบับนี้มาว่ากันเฉพาะเรื่องกำลังส่องสว่างของเครื่องฉายว่าแท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่ ? แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าจะนำไปใช้ตรงกับความต้องการได้จริง ๆ
การเลือกเครื่องฉายไม่ได้หมายความว่าจะยิ่งมีกำลังส่องสว่างมากยิ่งดีเสมอไป ยังมีข้อแม้ว่าถ้าสว่างเกินไปภาพที่ได้จะขาวเกินไปและความอิ่มตัวของสี โดยทั่วไปแล้วเครื่องฉายยิ่งมีแสงสว่างในการฉายยิ่งมากย่อมมีราคายิ่งสูง(ในกรณีที่คุณลักษณะอื่น ๆ เหมือนกัน) แต่ยังมีปัจจัยที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับค่าความสว่างของเครื่องฉายที่สำคัญที่เราไม่อาจคาดคะเนได้ด้วยสายตาอีก 3 ประการคือ กำลังส่องสว่างของเครื่องฉาย(light output) ค่าความสว่างรวม(brightness uniformity) และระดับของ contrast
1. กำลังส่องสว่าง(light output) ของเครื่องฉาย
การเจรจาความกันในเรื่องความสว่างของเครื่องฉายในปัจจุบันเรามักจะได้ยินคำว่า ANSI กันบ่อย ๆ โดยอาจจะเป็นการเรียกสั้น ๆ หรืออย่างไรก็ตาม แต่ความหมายที่แท้จริงของ ANSI หมายถึงสถาบันกำหนดมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (American National Standards Institute) เป็นองค์กรที่ไม่ได้มุ่งแสวงหากำไร เป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่าง ๆ ก่อตั้งในปี 1918 ดังนั้นการได้ยินคำว่า ANSI ถ้าพิจารณากันดี ๆ แล้วจะมีเข้าไปเกี่ยวข้องในผลิตภันฑ์ต่าง ๆ หลายผลิตภันฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ทางด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟฟ้า อุปกรณ์เกี่ยวกับการให้แสงสว่างเป็นต้น ก่อนที่จะมาเป็น ANSI มีการพัฒนาจากรูปแบบของสมาคมก่อนที่รู้จักกันดีในชื่อของ ASA(the American Standards Association) จากนั้นพัฒนาไปสู่ระดับสถาบันที่เรียกว่า USASI หรือ ASI(the United States of America Standards Institute) แล้วมาเป็น ANSI จนถึงปัจจุบัน ค่าความสว่างในปัจจุบันมีความพยายามมาใช้มาตรฐานการวัดกำลังส่องสว่างใหม่ โดยทางกลุ่มบริษัทผู้ผลิตของประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ผลิตส่วนใหญ่ในท้องตลาดที่จำหน่าย ได้ร่วมกันกำหนดมาตรฐานใหม่ โดยเดิมใช้ ANSI Lumen ก็มาใช้ Lumen ที่ใช้มาตรฐานของ ISO/IEC 21118 ซึ่งวิธีการวัดโดยรวม ๆ แล้วก็ไม่ต่างกับมาตรฐานของ ANSI เท่าใดนัก
โดยปกติแล้วความสว่างจะมีความสว่างสูงอยู่บริเวณตรงกลางจอภาพอยู่แล้ว จึงมีการวัดเป็น Central Lumen คือวัดความสว่างเฉพาะตรงกลาง ทำให้บางยี่ห้ออาจจะไม่แจ้งว่าวัดเป็น Central Lumen โดยอาจจะแจ้งเป็น Lumen อย่างเดียว ซึ่งทางที่ดีควรได้เปรียบเทียบกับค่าความสว่างรวมด้วย(Brightness Uniformity)
ค่าความสว่างของเครื่องฉายจะกำหนดเป็น ลูเมน(Lumen) ซึ่งบางท่านอาจจะถามว่าแล้ว ลูเมนคืออะไร ?
ลูเมนคือหน่วยวัดปริมาณของแสงเทียบเท่ากับแสง 0.98 Ft-c (foot-candles) สะท้อนกับพื้นผิวในพื้นที่ 1 ตารางฟุต
ความสว่างของเครื่องฉายยิ่งสว่างมาก ราคาเครื่องฉายย่อมมีราคาสูงตามไปด้วย อย่างไรก็ตามเราก็ควรเลือกเครื่องฉายที่ให้ความสว่างมากที่สุดเท่าที่จะสามารถหาได้ สิ่งที่เราจะต้องพิจารณาในเรื่องความสว่างของเครื่องฉายนั้นมีด้วยกัน 4 ประการคือ
1. จำนวนผู้ดูหรือผู้ชม จอภาพที่ใช้รับภาพจะต้องมีขนาดโตพอที่จะให้จำนวนผู้ชมที่มากเห็นได้อย่างชัดเจนด้วย เช่นขนาดของภาพ ขนาดไม่เกิน 60 นิ้ว(วัดทะแยง) เครื่องฉายที่มีกำลังส่องสว่างเพียงไม่เกิน 1,000 ANSI Lumen ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
2. ปริมาณแสงภายในห้องฉายหรือที่เรียกว่า background light ถ้าเป็นห้องฉายที่มืดสนิท กำลังส่องสว่างของเครื่องฉายก็จะไม่สูงนัก แต่ถ้าเป็นห้องฉายที่มีแสงรบกวนมากเช่นมีแสงเข้าทางประตูหรือหน้าต่าง กำลังส่องสว่างของเครื่องฉายจะต้องเพิ่มขึ้นไปด้วย
3. คุณสมบัติของจอฉาย คุณสมบัติของจอฉายจะมีผลต่อคุณภาพของภาพแม้ว่าจอฉายในปัจจุบันจะมีคุณภาพสูง มีความสามรถในการสะท้อนแสงจากเครื่องฉายได้ดี แต่ถ้าในการฉายใช้วัสดุอื่นแทนจอภาพ เช่นผนังห้อง จะต้องใช้กำลังส่องสว่างของเครื่องฉายมากขึ้น
4. ลักษณะการใช้งาน เช่นถ้าเป็นห้องเรียน ห้องฝึกอบรม จะจำเป็นต้องใช้กำลังส่องสว่างของเครื่องฉายมากขึ้นเพราะสภาพการฉายต้องมีแสงสว่างเพื่อการจดบันทึกและการนำเสนออื่น ๆ เป็นต้น
แสงรบกวนน้อย | |
มีแสงรบกวนบ้าง | |
แสงรบกวนสูง |
จอฉายขนาดอัตราส่วน 4:3 | |||
ขนาดของจอ/ ความสว่างของเครื่องฉาย(Lumens) | 72" | 100" | 120" |
500 | |||
600 | |||
750 | |||
800 | |||
900 | |||
1000 | |||
1100 | |||
1200 | |||
1250 | |||
1300 | |||
3500 |
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบความสว่างของเครื่องฉายต้องเพิ่มมากขึ้นเมื่อสภาพการฉายแตกต่างกันเนื่องมาจากขนาดของภาพและแสงรบกวน(ambient light)
ปริมาณของแสงที่เป็นกำลังส่องสว่างจากเครื่องฉายที่ปรากฎบนจอนั้นวัดเป็น ANSI-LUMEN แต่เรามักจะเรียกกันงาย ๆ ว่า ลูเมน ซึ่งเราคงกล่าวได้แต่เพียงว่าเครื่องฉายที่มีกำลังส่องสว่าง 3,000 ANSI Lumen สว่างกว่าเครื่อง 2,000 ANSI Lumen เท่านั้นแต่ไม่สามารถเปรียบเทียบคุณภาพของภาพได้ ปริมาณกำลังส่องสว่างของเครื่องฉายที่พอเหมาะก็จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่ได้กล่าวมาแล้ว
ความสว่างวัดเป็น ANSI Lumen ซึ่งเครื่องฉายที่มีกำลังส่องสว่างสูงกว่าจะมีค่าจำนวน ANSI Lumen สูงกว่าตามไปด้วย ในอดีตที่ผ่านมามีผู้แบ่งระดับของเครื่องฉายกับกำลังส่องสว่างออกเป็น 4 ระดับคือ 1) ต่ำกว่า 1,000 ANSI Lumen 2) 1,000 – 2,ooo ANSI Lumen 3) 2,000 – 3,000 ANSI Lumen 4) 3,000 ANSI Lumen ขึ้นไป แต่ในทัศนะผู้เขียนเห็นว่าในปัจจุบันเครื่องฉายมีการพัฒนาไปมาก มีราคาถูกลงและกลุ่มผู้ผลิตที่มีราคาใกล้เคียงกัน จึงจอแบ่งประเภทของเครื่องฉายตามระดับกำลังส่องสว่างดังนี้
1) ต่ำกว่า 2,000 ANSI Lumen การใช้งานเหมาะสำหรับการนำเสนอที่มีจำนวนผู้ชมเป็นกลุ่มย่อย ๆ และมีแสงสว่างรบกวนน้อย เช่นใช้ในบ้าน หรือในที่ประชุมกลุ่มย่อย เป็นต้น
2) 2,000 – 3,500 ANSI Lumen เป็นเครื่องฉายที่เหมาะสำหรับการนำไปใช้กับห้องเรียนหรือห้องสัมมนาได้
3) 3,500 – 5,000 ANSI Lumen เหมาะสำหรับการนำไปใช้กับห้องประชุมขนาดกลางที่มีผู้ชมประมาณ 100 – 250 คนได้
4) 5,000 ANSI Lumen ขึ้นไป เป็นเครื่องฉายที่เหมาะสำหรับการติดตั้งในห้องประชุมที่มีจำนวนผู้ชมมาก ๆ หรือห้องใหญ่ ๆ ที่บรรจุผู้ชมได้มากกว่า 5,000 คน ซึ่งต้องใช้จอฉายขนาดใหญ่ อาจจะต้องใช้เครื่องที่มีกำลังส่องสว่างมากกว่า 10,000 ANSI Lumen ขึ้นไป
ANSI Lumen เป็นมาตรฐานสำหรับวัดปริมาณแสงที่ออกมาจากเครื่องฉายเพื่อสำหรับการเปรียบเทียบเครื่องฉายที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด แม้ว่าในความรู้สึกที่พบด้วยสายตา อาจจะมองเห็นแล้วอาจดูว่าแตกต่างกัน เช่นเครื่องฉายที่ใช้หลอดฉายต่างชนิดกัน เป็นต้นว่าหลอดฉายแบบ halogen กับ metal halide ซึ่งจะดูเหมือนกับว่าเครื่องฉายที่ใช้หลอด Metal – halide จะดูสว่างกว่าแม้ว่าจะมีความสว่างหรือจำนวน ANSI lumen เท่ากันก็ตาม หรือแม้แต่เทคโนโลยีที่ต่างกันเช่น LCD, DLP, LCOS หรือแม้แต่ LCD ที่เทคโนโลยีต่างประเภทกันเช่น active matrix TFT, Poly-Si, Passive หรือแม้แต่คอนทราส(contrast) ของภาพ ล้วนมีผลต่อความสว่างของเครื่องฉายทั้งสิ้น
แม้ว่าเราจะพบว่าบางครั้งผู้ผลิตต้องการเน้นค่าความสว่างมากเกินไป เข่นว่าเครื่องนี้สูงกว่าอีกเครื่องหนึ่ง เช่นเครื่อง 1600 ANSI lumen สว่างกว่าเครื่องที่มีค่าความสว่าง 1,500 ANSI lumen ทั้ง ๆ ที่มีความแตกต่างกันน้อยมาก โดยถ้าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มจำนวนมากก็จะต้องพิจารณาความคุ้มทุนให้ดี โดยปกติแล้วถ้าค่าความแตกต่างของค่าความสว่างของเครื่องมีค่าความแตกต่างกันไม่เกิน 20 % สายตาตนเราจะแยกไม่ออก ทั้งนี้เพราะ แสงที่เรามองเห็นเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างหนึ่งที่มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 380 – 770 นาโนเมตร(nanometers : nm) และมีความถี่อยู่ในช่วง 460 terahertz(THz) ถึง 750 THz
อีกประการหนึ่งค่าความสว่างที่กำหนดในสเปค นั้นหมายถึงในกรณีที่หลอดฉายใหม่ ๆ เท่านั้น แต่เมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ความสว่างของหลอดฉายจะลดลงประมาณ 15 ~ 20 % ดังนั้นเครื่องฉายขนาด 2,000 ANSI Lumen ก็อาจจะสว่างพอ ๆ กับเครื่อง 1,800 ANSI Lumen การเลื่อกความสว่างของเครื่องฉายไม่ควรจะเลือกให้สว่างเกินความจำเป็นเพราะนอกจากจะมีราคาสูงแล้วภาพที่ได้จะได้สีที่ไม่สมดุล ขาดความอิ่มตัวของสีอีกด้วย
ภาพที่ 1 . เปรียบเทียบภาพที่เกิดจากเครื่องฉายที่มีความสว่างมากเกินไป(ซ้าย) และภาพที่เกิดจากเครื่องฉายที่มีความสว่างพอดี(ขวา) โดยที่ภาพทางด้านซ้ายมือเป็นภาพของเครื่องฉายที่มีความสว่างมากไปทำให้สีซีดจาง ส่วนทางด้านขวามือนั้นความสว่างพอดีทำให้ภาพที่ได้มี ความอิ่มตัวของสีที่ดีกว่า
การกำหนดค่ากำลังส่องสว่างของเครื่องฉายนั้น มาตรฐานอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาใช้มาตรฐานของ ANSI เป็นตัวกำหนดความสว่างของเครื่องฉายภาพดิจิตอลซึ่งคล้ายกับของเยอรมันที่ใช้มาตรฐาน DIN สำหรับเครื่องฉายแล้วจำนวนลูเมน(lumens)เป็นตัวบอกปริมาณแสงที่ออกจากเลนส์ของเครื่องฉายโดยใช้วัดที่ความสว่างสุดเมื่อภาพบนจอขาวทั้งภาพ โดยแบ่งพื้นที่ของฉากรับภาพนั้นออกเป็น 9 ส่วนเท่า ๆ กันแล้วใช้ luxmeter sensor วัดที่ตรงกลางของแต่ละส่วนทั้ง1- 9 ส่วนนั้น แล้วนำมาเฉลี่ย ส่วนตำแหน่งที่ 10 – 13 นั้นเพิ่มเข้ามาเพื่อวัดค่าความสว่างโดยรวม(brightness uniformity) โดยวัดตั้งแต่ 1 -13
ภาพที่ 2 แสดงการวัดค่าความสว่างของเครื่องฉายในระบบ ANSI Lumen โดยวัดค่าเฉลี่ยที่ตำแหน่ง 1 - 9
แม้ว่าฉบับนี้เรากล่าวกันถึงเรื่องของ ANSI Lumen เป็นหลัก แต่เราอาจจะพบหน่วยวัดความเข้มของความสว่าง เป็นหน่วยที่นิยมใช้กันในอดีต เป็นการวัดปริมาณความเข้มของแสง ที่เรียกว่า “ candle power” หรือกำลังเทียน/แรงเทียนก็หมายถึงความเข้มของแสงด้วย ซึ่งคำว่า candlepower นี้มาใช้แทนคำว่า candela ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น candlepower หรือ candela จึงมีค่าเทียบเท่ากัน ถ้าเราถือเทียนไข 1 แท่งอยู่ห่างจากพื้นผิวเป็นระยะ 1 ฟุตความสว่างควรจะเป็น 1 foot-candle(fc) แต่เมื่อให้เทียนอยู่ห่างออกไปเป็น 2 ฟุตจะได้ความสว่างที่พื้นผิวเพียง ¼ fc และ 1/9 fc ที่ระยะ 3 ฟุต ส่วนFoot-candle (fc) ก็เป็นหน่วยของความสว่างที่ตกกระทบกับพื้นผิวอย่างเช่นผนังหรือโต๊ะ โดยเทียบเท่ากับความสว่าง 1 ลูเมน(lumen) ตกกระทบกับพื้นที่ 1 ตารางฟุตจะให้ความสว่างเท่ากับ 1 foot-candle หรือ 1 foot-candle เท่ากับ 1 ลูเมนต่อตารางฟุต โดยถ้าเปรียบเทียบกันแล้วได้ดังนี้
1 ลักซ์(lux) = 1 ลูเมนส์ต่อตารางเมตร = 0.0929 foot-candleหรือ1 foot candle จะเท่ากับ 10.764 ลักซ์(lux) ซึ่ง lux เป็นภาษาลาตินหมายถึง light ไม่ได้หมายถึงยี่ห้อของสบู่ แต่เป็นหน่วยความเข้มข้นของแสงสว่าง เป็นหน่วยวัดแสงส่องตรงมายังพื้นผิววัตถุ ซึ่ง 1 foot-candle มีค่าเท่ากับ 10.764 lux แม้ว่า คำว่า “ความสว่าง” ที่ใช้คำในภาษาอังกฤษมีทั้ง luminance กับ brightness แต่ทั้งสองคำยังมีความต่างกันก็คือ brightness เป็นความสว่างที่เน้นการรับรู้ของตามนุษย์
2. ค่าความสว่างรวม(brightness uniformity)
การพิจารณาค่าความสว่างของเครื่องฉายจะต้องพิจารณาค่าความสว่างทั่วทั้งจอหรือที่เรียกว่า uniformity หรือ uniformity brightness หรือ brightness uniformity ด้วยซึ่งภาพจะต้องสว่างโดยสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการบอกค่าเป็นร้อยละ โดยเครื่องฉายในระดับทั่ว ๆ ไปที่พบมักจะมีค่า uniformity ต่ำกว่า 90 % ทั้งสิ้น เช่นมีค่าเฉลี่ย เพียง 80 % จะสังเกตได้ง่ายคือตรงขอบ ๆ จอ จะไม่ค่อยสว่างเท่ากับบริเวณตรงกลาง ผลที่ได้ก็คือถ้าดูภาพนาน ๆ จะไม่สบายตา และในทางกลับกัน เครื่องฉายประเภท Hi-End บางยี่ห้อมีค่า uniformity จะสูงถึง 95 % ก็ยังมี การเลือกเครื่องฉายที่ดีควรเลือกที่มีค่า uniformity ไม่น้อยกว่า 85 % การวัดค่า brightness uniformity วัดจากการเพิ่มจุดวัดตรงขอบภาพทั้งสี่ด้านในภาพที่ 2 (เพิ่มตำแหน่งวัดที่ 10 – 13)
3. ระดับ contrast ของเครื่องฉาย
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเครื่องฉายที่เกี่ยวกับ ANSI ที่สำคัญของเครื่องฉายนอกจากความสว่างที่เรียกว่า ANSI Lumen แล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือเรื่องของ contrast ratio ของเครื่องฉาย ได้แก่ ANSI contrast กับ Full on/off contrast ซึ่ง Contrast เป็นอัตราส่วนของความขาวกับดำซึ่งยิ่งมากยิ่งดีทำให้ได้รายละเอียดของสีได้ ดีรวมทั้งเมื่อใช้งานกับสถานที่ที่มีแสงรบกวนจะช่วยเพิ่มความชัดเจนในการดู ภาพยิ่งขึ้น contrast ที่กำหนดในspec ของเครื่องฉายมีอยู่ 2 ประเภทดังได้กล่าวไปแล้ว
1. Full on/off Contrast จะวัดแสงส่องสว่างเมื่อเป็นภาพขาวล้วน ๆ (full on) และขณะที่ภาพดำล้วน ๆ (full off)
2. ANSI Contrast ซึ่งวัดจากอัตราส่วนของแสงสีดำกับสีขาวในพื้นที่ของภาพที่ฉายจำนวน 16 แห่ง ดังนั้นเมื่อเวลาเปรียบเทียบการ contrast ของเครื่องฉายแล้วจะต้องระมัดระวังว่าเปรียบเทียบตัวเลขในระบบเดียวกันหรือไม่ ซึ่งค่าตัวเลขที่ได้ contrast ratio ของระบบ full on/off จะมีค่าสูงกว่า ANSI Contrast มากประมาณ 4 เท่า ดังมีหลายท่านที่อุปมาอุปมัยว่า เหมือนกับกำลังขับของเครื่องขยายเสียงแม้ว่าจะบอกค่าว่าเป็น Watt แต่ก็มีหลายหน่วยเช่น RMS, Dynamic power, DIN และPMPO เป็นต้นแม้ว่ากำลังขับจะเท่ากันแต่ตัวเลขค่าของแต่ละหน่วยวัดไม่เหมือนกันทั้งนี้อาจเพื่อต้องการให้ตัวเลขที่สูง ๆ เอาไว้ ดังนั้นท่านผู้อ่านที่เคารพควรจะต้องตรวจสอบให้
แน่ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซื้อสินค้าระดับ consumer
แน่ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซื้อสินค้าระดับ consumer
ภาพที่ 3 เครื่องฉายภาพดิจิตอล Dell 2100 MP
มีค่า contrast 450 :1 (ANSI) และ 1,800 :1 (Full On/Off)
เอกสารอ้างอิง
Barlow, C. Kevin. “ What is a Lumen ? “ in Sound & Video Contractor , July 20, 1993.
Christianity Today International The Light Stuff May/June 1998, Vol.44, No. 3, Page 14http://www.christianitytoday.com/yc/8y3/8y3014.html
Gibson, David “ Candlepower ! “ BCRA Cave Radio & Electronics Group, Journal 26, December 1996 p.27
Halsted, Charles P. “ Brightness, Luminance, and Confusion “ Information Display, March 1993.
http://www.resuba.com/wa3dsp/light/lumin.html
Jobe, D.Nancy. “ Image quality specifications – Achieving customer satisfaction “ in TI Technical Journal . Juy – September 1998 . p.95 - 100.
Kudryavtsev,Aleksei. Infocus X1 Projector Review.
http://www.digit-life.com/articles2/infocus-x1
http://www.digit-life.com/articles2/infocus-x1
Norbert Schmiedeberg “Image Brightness guide for projection”
http://www.dvmg.com.au/iti-f1.html
“Photometry and Radiometry: A Tour Guide for Computer Graphics Enthusiasts” http://www.ledalite.com/library-/photom.htm.
Poor, Alfred. A Look into the Light. http://www.pcmag.com/article2/0,4149,1192552,00.asp
Presentation Projector Buyers Guide
Sander Sassen Lumen output
http://www.hardwareanalysis.com/content/daily_column/article/1645.2/(3/12/03)
http://www.hardwareanalysis.com/content/daily_column/article/1645.2/(3/12/03)
เครดิต http://www.cybergogy.com/somsit/423231EdTEquipOpr/LightOutput.html